ก้าวแห่งความสำเร็จของโตโยต้าในประเทศไทย
เมื่อพูดถึงรถยนต์อเนกประสงค์ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย หนึ่งในแบรนด์ที่ยืนหนึ่งมาอย่างยาวนานคือ โตโยต้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มรถ PPV (Pickup Passenger Vehicle) ที่มีฟอร์จูนเนอร์เป็นตัวหลักในการทำตลาด ถือเป็นผลิตผลจากความสำเร็จของโครงการไอเอ็มวี (International Innovative Multipurpose Vehicle) ที่โตโยต้าวางกลยุทธ์ให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถปิกอัพ 1 ตัน และรถอเนกประสงค์ตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน มียอดขายสะสมมากกว่า 4.73 แสนคัน ส่งให้โตโยต้ายืนหนึ่งในฐานะผู้นำรถ PPV มายาวนานถึง 12 ปีซ้อน
ในวันนี้ เพื่อเพิ่มความสดใหม่และขยายโอกาสทางการตลาด โตโยต้าได้ส่ง “ฟอร์จูนเนอร์ รุ่นลีดเดอร์ เอส” (FORTUNER LEADER S) มาเอาใจลูกค้าให้เข้าถึงรถรุ่นนี้ได้ง่ายขึ้น โดยใช้กลยุทธ์ปรับออปชั่นและราคาให้น่าดึงดูดยิ่งขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งความสะดวกสบายและคุณภาพไว้อย่างครบครัน
กลยุทธ์การตลาดที่ครอบคลุม
แน่นอนว่าโตโยต้ามีแผนการตลาดที่ชัดเจน นอกจากเล็งกลุ่มเป้าหมายหลักคือผู้ใช้งานทั่วไปแล้ว ยังมีการเจาะตลาดไปยังกลุ่มธุรกิจและองค์กรที่มีความต้องการซื้อรถยนต์ในปริมาณมาก (ฟลีต) และธุรกิจรถเช่า ซึ่งให้ความนิยมรถประเภทนี้ด้วยเหตุผลสำคัญคือต้นทุนที่ไม่สูงมากนัก มีออปชั่นเพียงพอต่อการใช้งาน และที่สำคัญคือความมั่นใจในงานบริการหลังการขายจากศูนย์บริการโตโยต้ากว่า 450 แห่งทั่วประเทศ ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ถึงความพร้อมในการให้บริการอย่างทั่วถึง
ฟอร์จูนเนอร์ รุ่นลีดเดอร์ เอส มาพร้อมกับราคา 1.239 ล้านบาท ซึ่งถือเป็น “กระสุน” สำคัญที่โตโยต้าหวังผลในการเจาะตลาดรถอเนกประสงค์ขนาดกลางให้ได้ผลยิ่งขึ้น
ดีไซน์ภายนอก: เรียบง่ายแต่เท่
หากมองถึงความแตกต่างระหว่างรุ่นย่อยที่สูงกว่า ในด้านของรูปลักษณ์ภายนอก อาจไม่ได้มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดมากนัก กระจังหน้าและกันชนหน้าของ ฟอร์จูนเนอร์ ลีดเดอร์ เอส เน้นความเรียบง่าย แต่ยังคงความเท่แบบไม่เยอะ ทำให้รู้สึกถึงความเป็นรถ SUV ที่มีบุคลิกเข้มแข็ง
รถรุ่นนี้มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ Bi-Beam LED พร้อม Daytime Running Lights ไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED และไฟท้ายแบบ LED Light Guiding ที่ทำให้การขับขี่ในเวลากลางคืนสว่างและปลอดภัย มือจับประตูเป็นสีเดียวกับตัวรถ ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ด้านข้างมีกาบบันไดเพื่อการก้าวขึ้นรถได้อย่างสะดวก แต่ราวหลังคาถูกตัดออกไปเพื่อลดต้นทุน
ห้องโดยสาร: กลับสู่พื้นฐานแต่ครบครัน
เมื่อเข้าสู่ภายในห้องโดยสาร สิ่งที่เห็นได้ชัดคือการกลับไปสู่ความเป็นพื้นฐาน (Back to Basic) โดยแทนที่จะเป็นระบบปุ่มกดสตาร์ต โตโยต้าเลือกที่จะใช้ระบบกุญแจแบบดั้งเดิมที่ต้องเสียบและบิดเพื่อสตาร์ตหรือดับเครื่องยนต์
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกยังคงมีอย่างครบครัน มีหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ที่รองรับทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto สามารถเชื่อมต่อแบบไร้สายได้ มาตรวัดเรืองแสงพร้อมจอแสดงข้อมูลขนาด 4.2 นิ้ว ที่แสดงข้อมูลได้อย่างชัดเจน
ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมระบบกรอง PM 2.5 ทำให้อากาศภายในห้องโดยสารสะอาด มีกล้องมองหลังพร้อมเส้นกะระยะช่วยในการถอยจอด ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่จำเป็นสำหรับรถขนาดนี้
กระจกหน้าต่างฝั่งคนขับเป็นแบบวันทัช ในขณะที่กระจกอีก 3 บานเป็นแบบธรรมดาที่ต้องกดเปิด-ปิดเอง เบาะนั่งเป็นแบบเบาะผ้าสีดำที่กลมกลืนกับแผงคอนโซลหน้าที่บุด้วยหนังสังเคราะห์สีดำ แผงประตูบุด้วยผ้าสีดำเช่นเดียวกัน
ในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวกที่ถูกตัดออกไปได้แก่ ช่องเก็บของหน้าแบบคูลบ๊อกซ์ และที่ชาร์จแบบไร้สาย แต่ยังคงมีช่องเสียบแบบ USB ให้ใช้งาน เบรกมือยังเป็นแบบก้านที่ต้องดึงขึ้นใช้งาน ซึ่งให้ความรู้สึกมั่นใจกว่าระบบเบรกมือไฟฟ้าในบางสถานการณ์
ประตูฝาท้ายของรถรุ่นนี้ไม่มีระบบเปิด-ปิดไฟฟ้า ต้องใช้แรงในการเปิดและปิดเอง
การขับขี่: โหมดที่เหมาะกับทุกสถานการณ์
รถคันนี้มาพร้อมกับ 2 โหมดการขับขี่หลัก ได้แก่ โหมด ECO สำหรับการประหยัดพลังงาน และโหมด SPORT สำหรับการขับขี่ที่ต้องการความกระฉับกระเฉง นอกจากนี้ยังมีปุ่มกดควบคุมการลื่นไถลเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่บนถนนที่มีสภาพลื่น
แป้นแพดเดิลชิฟต์ที่พวงมาลัยถูกตัดออกไป แต่ยังคงสามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์ได้ด้วยการโยกคันเกียร์ในโหมด Sequential Shift (+/-) ซึ่งให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับการขับรถแบบธรรมดามากยิ่งขึ้น
สมรรถนะ: เพียงพอสำหรับทุกการเดินทาง
ฟอร์จูนเนอร์ ลีดเดอร์ เอส มาพร้อมกับขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
จากการทดสอบการขับขี่จริงในเส้นทาง กรุงเทพฯ-นครสวรรค์-พิษณุโลก-กรุงเทพฯ ระยะทางเกือบ 800 กิโลเมตร พบว่ารถมีความคล่องตัวค่อนข้างสูง น้ำหนักของพวงมาลัยเหมาะมือ ไม่หนักหรือเบาจนเกินไป ทำให้การควบคุมรถในจังหวะมุดตามช่องเพื่อเปลี่ยนเลนหรือแซงทำได้อย่างสบาย
การทำงานของเครื่องยนต์มีความนุ่มนวล จังหวะคิกดาวน์เพื่อเร่งแซงรถคันอื่นได้รับการตอบสนองที่ดี ไม่มีอาการตึงหรือเครียดจนเกินไป ในบางสถานการณ์สามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์เองเพื่อกระชับการทำงานของเครื่องยนต์ให้ตอบสนองได้ทันใจยิ่งขึ้น
อัตราสิ้นเปลือง: ใช้งานจริงตามที่คาดหวัง
จากการทดสอบการใช้งานจริงในเส้นทางดังกล่าว โดยวิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ยสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด บรรทุกผู้โดยสารรวมคนขับ 4 คน หน้าจอแสดงอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 11.8 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งถือว่าใช้ได้สำหรับรถขนาดนี้ แม้จะต่ำกว่าที่โตโยต้าเคลมไว้ที่ 14.3 กิโลเมตรต่อลิตรตาม ECO Sticker แต่ก็ถือว่าเป็นอัตราที่ยอมรับได้เมื่อคำนึงถึงการใช้งานจริงที่มีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง
สรุป: คุ้มค่าเกินราคา
โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ รุ่นลีดเดอร์ เอส เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับลูกค้าที่ต้องการรถอเนกประสงค์คุณภาพดี แต่ไม่ต้องการจ่ายเงินมากเกินไปสำหรับออปชั่นที่อาจไม่จำเป็นต่อการใช้งานประจำวัน แม้จะมีการตัดออปชั่นบางอย่างออกไปเพื่อลดต้นทุน แต่สิ่งที่ยังคงไว้คือคุณภาพการขับขี่ ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยที่ครบครัน
ด้วยราคา 1.239 ล้านบาท ถือว่าโตโยต้าได้พัฒนารถรุ่นนี้ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดได้เป็นอย่างดี ตอบโจทย์ทั้งลูกค้าทั่วไปและลูกค้าองค์กร ยืนยันถึงความเป็นผู้นำในตลาดรถ PPV ที่เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง
โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ลีดเดอร์ เอส จึงพร้อมเสิร์ฟความคุ้มค่าที่เกินราคา สมกับการเป็นผู้นำสำหรับคนที่มองหารถอเนกประสงค์คุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น